10 วิธี Paleo Diet แบบประยุกต์ ที่นำมาปรับใช้ได้ทุกคน

ในปัจจุบันมีวิธีการลดความอ้วนโดยอ้างอิงจากวิธีของมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ เรียกว่า Paleo Diet แปลเป็นไทยได้ว่า โภชนาการแบบดึกดำบรรพ์

ซึ่งนอกจากชื่อที่ดูแปลกแหวกแนวมากๆแล้ว วิธีการนั้นก็ยังแตกต่างจากการไดเอทที่เราเคยได้ยินมาอีกด้วย

ซึ่ง Paleo diet คือการเน้นรับประทานโปรตีนในปริมาณมาก เน้นทานผักผลไม้ ไขมันดีจากเมล็ดพืชและเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยฟางและหญ้า และหลีกเลี่ยงแป้ง ขนมหวาน นม เนย รวมทั้งผลไม้ที่มีรสหวานให้มากที่สุด

เพราะผู้คิดค้นวิธีการไดเอทแบบ Paleo นี้กล่าวว่าการบริโภคอาหารเหล่านี้จะช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายที่ดีอย่างแท้จริง โภชนาการแบบนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับร่างกายมนุษย์ที่สุด

แต่ถึงกระนั้นโภชนาการแบบดึกดำบรรพ์นี้ก็ไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายมากนัก แม้ในประเทศอเมริกาเอง เพราะว่าการรับประทานโดยตัดขาดนม เนยและขนมปังแสนอร่อยก็ดูจะเป็นเรื่องยากมากๆในประเทศที่รับประทานอาหารชนิดนี้เป็นหลัก

นี่ยังไม่รวมถึงคนที่รับประทานมังสวิรัติ คงไม่สามารถทนทานการไดเอทแบบ Paleo ได้แน่นอน แต่ในบทความนี้ เราจะมาอธิบายข้อดีที่เราสามารถเรียนรู้จากการไดเอทแบบดึกดำบรรพ์นี้ได้

ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถเลือกรับประทานแบบนี้ได้อย่างเคร่งครัด 100% ซึ่งเราทุกคนสามารถนำเทคนิคบางส่วนมาปรับใช้กับตัวเองได้เช่นกัน

10 วิธี Paleo Diet แบบประยุกต์ ที่นำมาปรับใช้ได้ทุกคน

1. กินแต่ของสดใหม่ ไม่ผ่านการปรุงแต่ง

ในยุคปัจจุบันที่มีอาหารสำเร็จรูปจำหน่ายเต็มไปหมด เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้คนเรา แต่อาหารพวกนี้มักมีสารอาหารที่ลดลงไปตามกาลเวลา แถมยังผ่านการปรุงแต่งมามาก ทำให้แทบไม่เหลือความสดใหม่อีกต่อไป ดังนั้น เทคนิคหนึ่งของการทานแบบมนุษย์ถ้ำในยุคดึกดำบรรพ์ สิ่งที่ควรทำคือเลิกซื้อและเลิกกินอาหารสำเร็จรูป เก็บอาหารสดไว้ในตู้เย็นเท่านั้น เน้นการปรุงอาหารสดในแต่ละมื้อจะช่วยให้เราได้รับสารอาหารได้มากขึ้น ลองให้เวลาตัวเองสัก 2 อาทิตย์แล้วคุณจะพบว่าการทานอาหารสดปรุงใหม่มีผลต่อร่างกายคุณยังไง

2. งดน้ำตาลและของหวาน

ข้อนี้เป็นข้อที่ยากที่สุดสำหรับคนหลายคน เพราะว่ามนุษย์เราเคยชินกับการรับประทานของหวานและอาหารที่มีรสชาติหวานนำ ของหวานให้ความรู้สึกที่ดี ทำให้มีความสุขและเรามักจะเสพติดความรู้สึกเหล่านั้น แต่การไดเอทแบบ Paleo โยนสารให้ความหวานทั้งหลายทิ้งไปเลย แต่ถ้ามันฮาร์ดคอร์ไป ให้ค่อยๆลดปริมาณความหวานที่เรารับประทานในแต่ละวันก็ได้ หรืออาจใช้สารให้ความหวานที่มาจากธรรมชาติแทน ถึงมันจะไม่ใช่พาลิโอ 100% แต่ทำได้ก็ดีกว่าไม่ทำ

3. เลิกทานผลิตภัณฑ์จากนม 30 วัน

ข้อนี้ถือว่าหินมากๆไม่แพ้ข้อสอง หลักการทานแบบพาลิโอคือห้ามทานนม เนย ผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด แต่ที่เราจะนำปรับมาใช้กับการไดเอทของเราคือ ให้ทดลองแค่ 30 วันก่อน ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ช่วยอะไรหรือไม่มีอะไรดีขึ้น ก็กลับมาทานแบบเดิมก็ได้

4. งดการทานอาหารทุกอย่างที่ทำมาจากแป้งสาลี 30 วัน

ข้อดีก็ยากเช่นกัน แต่นี่คือหลักการหนึ่งของพาลิโอ ให้ลองงดทานขนมปัง ซีเรียล พาสต้า ฯลฯ อะไรก็ตามที่ทำมาจากแป้งสาลี โดยทดลองประมาณ 30 วันพอ จากนั้นค่อยดูว่ามันมีผลต่อร่างกายเราในด้านไหนบ้าง

5. เลิกนับแคลอรี่

ยกตัวอย่างว่า คุ้กกี้ ต่อให้มีพลังงานน้อยแคลอรี่เพียงใด แต่มันก็ยังเป็นคุ้กกี้อยู่วันยันค่ำ ดังนั้น พาลิโอจึงแนะนำให้เราโฟกัสที่คุณภาพของอาหาร ไม่ใช่ปริมาณ เพราะนอกจากมันจะทำให้สุขภาพเราดีขึ้นแล้ว มันยังให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการนั่งนับแคล

6. ออกกำลังกายอย่างเดียวไม่เพียงพอ

เราอาจมีความคิดง่ายๆกันว่า “ถ้าเราอยากกินขนมหวาน เราก็แค่กินมันไปแล้วค่อยไปออกกำลังกายเอาก็ได้” แต่ถามจริงๆว่า กี่ครั้งที่เราทำได้? และถ้าหากวันนี้เรากินขนมไม่มีประโยชน์เพื่อตอบสนองอารมณ์อยากชั่วคราวไปปริมาณมาก ซึ่งเราต้องวิ่งถึง 5 ชั่วโมงจึงจะเผาผลาญหมด เราจะทำได้จริงๆเหรอ

พาลิโอจึงเน้นว่า การกินที่ดีจะมีผลต่อร่างกายเรามาก โดยที่เราไม่ต้องออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง การกินที่ดี 80% และการออกกำลังกายอีก 20% สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมได้มาก และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมชาว Paleo จึงลดน้ำหนักและมีสุขภาพดีได้ แม้ไม่ต้องเน้นการออกกำลังกายอย่างเดียว

7. อย่ากลัวไขมัน

คนส่วนใหญ่มีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับไขมันอยู่มาก เราคิดว่าไขมันส่วนเกินในร่างกายเรามาจากการกินไขมันเท่านั้น แต่จริงๆแล้ว แป้ง เนื้อสัตว์หรือผลไม้ที่เรากินไปมันก็สามารถแปรเป็นไขมันได้ทั้งนั้น ถ้ามันมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้น อย่ากลัวการกินไขมัน ไขมันที่ดีจากอโวคาโดและน้ำมันมะพร้าวมีผลดีมากกว่าผลเสีย มันจะช่วยเสริมสร้างระบบร่างกายเราให้ทำงานได้เป็นปกติ อีกทั้งยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ ตัวปัญหาคือไขมันจากการแปรรูป ไขมันอิ่มตัวหรือไขมันที่มาจากสัตว์ต่างหาก

8. กินผักเยอะๆ

การทานผักและผลไม้ที่ไม่หวานในปริมาณมากในแต่ละวันเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง นอกจากจะให้คุณค่าสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่แก่ร่างกายเราแล้ว เรายังได้ไฟเบอร์เพื่อช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย

9. ให้รางวัลตัวเองแบบพอประมาณ

ในยุคสมัยดึกดำบรรพ์ เมื่อผลไม้สุกได้ที่ พวกเขาจะแบ่งให้ทั่วกัน แม้แต่ 50 ปีก่อนหน้านี้ ขนมและของหวานต่างๆก็ไม่ได้เป็นที่นิยมขนาดนี้ ปัจจุบันร้านขนมและเครื่องดื่มหวานๆหาง่ายยิ่งกว่าอะไร และนั่นทำให้คนเราปัจจุบันเป็นโรคอ้วนมากขึ้น ดังนั้น จงทานของหวานแค่เป็นการให้รางวัลตัวเองอย่างพอประมาณ ไม่จำเป็นต้องทานทุกวัน

10. ยกแข้งยกขาบ้าง

นอกจากการทานอาหารที่ดีแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงยิ่งๆขึ้นไป คือการออกกำลังกาย เราไม่จำเป็นต้องทุ่มเทออกกำลังกายอย่างหักโหม อย่างที่บอก 80% อยู่ที่การกิน และ 20% อยู่ที่การออกกำลังกาย ถ้าเรารับประทานอาหารพอเหมาะแล้ว การแบ่งเวลาออกกำลังกายซักสัปดาห์ละ 3 ครั้งก็ถือว่าไม่เสียหาย มีแต่จะช่วยให้การลดความอ้วนของเรานั้นเห็นผลมากขึ้นอีกด้วย