ไขมันทรานส์  ไขมันตัวร้ายที่กำลังจะถูกแบนในอีก 3 ปีข้างหน้า

รู้หรือไม่ว่าอาหารแปรรูปที่เรารับประทานกันในปัจจุบันนั้น  มักจะใส่สารเติมแต่งเข้าไปมากมาย 

เพื่อเพิ่มรสชาติ  เสริมหน้าตาให้น่ารับประทาน  และเพิ่มอายุให้เก็บไว้ได้นาน  ซึ่งสารทั้งหลายเหล่านี้  หากบริโภคในปริมาณสูงอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้  ยกตัวอย่างเช่น  ไขมันทรานส์ (trans fat)

เมื่อไม่นานมานี้  องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศแจ้งให้ผู้ผลิตอาหารภายในประเทศยกเลิกการใช้สาร  partially hydrogenated oils (PHOs)  ในการผลิตเป็นไขมันทรานส์ ใส่ลงในอาหารแปรรูปหลายชนิด เช่น  ขนมอบ  เนยเทียม  ป๊อปคอร์น  พิซซ่า  และอาหารฟาสต์ฟู้ดชนิดต่าง ๆ  โดยให้ดำเนินการให้เสร็จสมบูรณ์ภายใน 3 ปีข้างหน้า

สาเหตุที่องค์อาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎเกณฑ์ชัดเจนออกมาเช่นนี้  เนื่องจากที่ผ่านมา  มีงานวิจัยจำนวนมาก พบข้อเสียของไขมันทรานส์ต่อสุขภาพมากมาย  เช่น  ทำให้เกิดโรคอ้วน  เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ

บางการศึกษาพบว่าไขมันทรานส์ส่งผลต่อพฤติกรรม  ทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมากขึ้น   รวมทั้งพบว่ามีผลลดประสิทธิภาพในการจดจำในคนวัยกลางคนได้

ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า หากสามารถยกเลิกการใช้สาร  PHOs ในอาหารได้  จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 20000 ราย  และลดการเสียชีวิตจากการเป็นโรคหัวใจได้ถึง 7000 รายเลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้  องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประกาศแล้วว่า  PHOs ไม่ควรจัดเป็นอาหารที่ปลอดภัยอีกต่อไป  แต่ยังคงมีการใช้สารชนิดนี้กันอยู่

ทั้ง ๆ ที่พบว่ามีผลข้างเคียงต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก  โดยผู้ผลิตอาหารได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า  หากไม่เติมสารชนิดนี้ลงไปอาจทำให้อาหารมีรสชาติเปลี่ยนไปจากเดิม

เนื่องจากไขมันทรานส์จะช่วยเพิ่มรสชาติและทำให้อาหารมีหน้าตาน่ารับประทาน  รวมทั้งยืดอายุของอาหารให้นานขึ้น   ซึ่งการที่จะหาสารชนิดอื่นมาทดแทนโดยมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับไขมันทรานส์นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเช่นกัน

จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีการใช้ไขมันทรานส์ในการผลิตอาหารแปรรูปมาโดยตลอด  โดยในปี ค.ศ.2003  ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาควบคุมโดยให้ระบุปริมาณลงในฉลากกำกับอาหารด้วย

จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 2012  มีการลดปริมาณการใช้ จาก 4.9 กรัม ลงมาเป็น 1 กรัม  บางฉลากอาจระบุว่ามีปริมาณไขมันทรานส์เป็นศูนย์  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า  อาหารแปรรูปชนิดนั้นไม่มีไขมันทรานส์อยู่เลย  ยังคงมีอยู่  แต่มีในปริมาณน้อยกว่า 0.5 กรัมต่อ 1 หน่วยบริโภค

การควบคุมปริมาณไขมันทรานส์จากองค์การอาหารและยาหลังจาก 3 ปีไปนั้น  จะอนุญาตให้ใช้ได้ในปริมาณน้อยในอาหารบางชนิดที่จำเป็นต้องใส่ลงไปได้  แต่ต้องยื่นเรื่องขออนุมัติก่อน  นอกเหนือจากนั้นจะไม่อนุญาตให้ใส่ลงไปเด็ดขาด  หากบริษัทใดใส่สารนี้ลงไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถือว่าทำผิดกฎหมาย

สำหรับในประเทศไทยนั้น  ยังไม่มีข่าวคราวความชัดเจนในเรื่องนี้  แต่เราก็คงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้บ้าง  หากถึงกำหนดที่สหรัฐอเมริกาจะประกาศควบคุมไขมันทรานส์อย่างสมบูรณ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า

ที่มา : http://www.medscape.com/viewarticle/846567

Related Posts