รู้หรือไม่ว่าอาหารแปรรูปที่เรารับประทานกันในปัจจุบันนั้น มักจะใส่สารเติมแต่งเข้าไปมากมาย
เพื่อเพิ่มรสชาติ เสริมหน้าตาให้น่ารับประทาน และเพิ่มอายุให้เก็บไว้ได้นาน ซึ่งสารทั้งหลายเหล่านี้ หากบริโภคในปริมาณสูงอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ยกตัวอย่างเช่น ไขมันทรานส์ (trans fat)
เมื่อไม่นานมานี้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศแจ้งให้ผู้ผลิตอาหารภายในประเทศยกเลิกการใช้สาร partially hydrogenated oils (PHOs) ในการผลิตเป็นไขมันทรานส์ ใส่ลงในอาหารแปรรูปหลายชนิด เช่น ขนมอบ เนยเทียม ป๊อปคอร์น พิซซ่า และอาหารฟาสต์ฟู้ดชนิดต่าง ๆ โดยให้ดำเนินการให้เสร็จสมบูรณ์ภายใน 3 ปีข้างหน้า
สาเหตุที่องค์อาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎเกณฑ์ชัดเจนออกมาเช่นนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา มีงานวิจัยจำนวนมาก พบข้อเสียของไขมันทรานส์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น ทำให้เกิดโรคอ้วน เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
บางการศึกษาพบว่าไขมันทรานส์ส่งผลต่อพฤติกรรม ทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมากขึ้น รวมทั้งพบว่ามีผลลดประสิทธิภาพในการจดจำในคนวัยกลางคนได้
ก่อนหน้านี้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประกาศแล้วว่า PHOs ไม่ควรจัดเป็นอาหารที่ปลอดภัยอีกต่อไป แต่ยังคงมีการใช้สารชนิดนี้กันอยู่
ทั้ง ๆ ที่พบว่ามีผลข้างเคียงต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยผู้ผลิตอาหารได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า หากไม่เติมสารชนิดนี้ลงไปอาจทำให้อาหารมีรสชาติเปลี่ยนไปจากเดิม
เนื่องจากไขมันทรานส์จะช่วยเพิ่มรสชาติและทำให้อาหารมีหน้าตาน่ารับประทาน รวมทั้งยืดอายุของอาหารให้นานขึ้น ซึ่งการที่จะหาสารชนิดอื่นมาทดแทนโดยมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับไขมันทรานส์นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเช่นกัน
จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีการใช้ไขมันทรานส์ในการผลิตอาหารแปรรูปมาโดยตลอด โดยในปี ค.ศ.2003 ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาควบคุมโดยให้ระบุปริมาณลงในฉลากกำกับอาหารด้วย
จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 2012 มีการลดปริมาณการใช้ จาก 4.9 กรัม ลงมาเป็น 1 กรัม บางฉลากอาจระบุว่ามีปริมาณไขมันทรานส์เป็นศูนย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาหารแปรรูปชนิดนั้นไม่มีไขมันทรานส์อยู่เลย ยังคงมีอยู่ แต่มีในปริมาณน้อยกว่า 0.5 กรัมต่อ 1 หน่วยบริโภค
การควบคุมปริมาณไขมันทรานส์จากองค์การอาหารและยาหลังจาก 3 ปีไปนั้น จะอนุญาตให้ใช้ได้ในปริมาณน้อยในอาหารบางชนิดที่จำเป็นต้องใส่ลงไปได้ แต่ต้องยื่นเรื่องขออนุมัติก่อน นอกเหนือจากนั้นจะไม่อนุญาตให้ใส่ลงไปเด็ดขาด หากบริษัทใดใส่สารนี้ลงไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถือว่าทำผิดกฎหมาย
สำหรับในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีข่าวคราวความชัดเจนในเรื่องนี้ แต่เราก็คงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้บ้าง หากถึงกำหนดที่สหรัฐอเมริกาจะประกาศควบคุมไขมันทรานส์อย่างสมบูรณ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า
ที่มา : http://www.medscape.com/viewarticle/846567