อันตรายจากการกินน้ำตาล ภัยเงียบทำลายสุขภาพ ที่คนรักรสหวานต้องรู้!

น้ำตาล เครื่องปรุงแต่งรสที่ให้ความหวาน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรสโปรดของใครหลายคนเลยทีเดียว

ด้วยเพราะรสชาติความหวาน หอม อร่อยชื่นใจ จึงทำให้ผู้ที่ได้ลิ้มลองเป็นต้องรู้สึกอารมณ์ดีตามทุกครั้งที่กินอาหารรสนี้ โดยปกติแล้วเราจะกินน้ำตาลจากส่วนประกอบในอาหาร ขนม เครื่องดื่ม และจากผลไม้ต่างๆ

แน่นอนว่าในหนึ่งวันเรากินน้ำตาลกันมากพอสมควรโดยที่ไม่รู้ตัว แต่จะมีสักกี่คนที่ตระหนักถึงอันตรายของการกินน้ำตาล เพราะแท้จริงแล้ว การกินน้ำตาลบ่อยๆ หรือกินในปริมาณที่เกินกว่าร่างกายต้องการ

ย่อมสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้มากกว่าคิดนั่นเอง ดังนั้น เราไปทำความรู้จักกันดีกว่าว่าอันตรายจากการกินน้ำตาลที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง

น้ำตาล คืออะไร?

น้ำตาล คือสารให้ความหวานที่ผ่านกระบวนการผลิตซึ่งมีคุณสมบัติเป็นน้ำตาลโซโครส โดยในปัจจุบันน้ำตาลมีด้วยกันหลายประเภท เช่น น้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทรายแดง น้ำเชื่อม และกากน้ำตาล เป็นต้น

น้ำตาลจัดเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีเส้นใยอาหาร โดยน้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี ซึ่งในหนึ่งวันเราควรกินน้ำตาลไม่เกิน 4 ช้อนชา เพราะหากกินน้ำตาลมากกว่านั้นอาจจะทำให้เกิดโทษต่อร่างกายได้

อันตรายจากการกินน้ำตาลมากเกินไป

เนื่องจากร่างกายก็ยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารต่างๆ อย่างครบถ้วนในปริมาณที่เพียงพอ อย่างเช่นน้ำตาลก็เช่นเดียวกัน หลายคนที่ลดน้ำหนักอาจจะหลีกเลี่ยงการทานน้ำตาลโดยสิ้นเชิง

โดยหารู้ไม่ว่าการที่ร่างกายขาดน้ำตาลก็จะส่งผลทำให้ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจจะทำให้มีอาการต่างๆ ตามมา เช่น หน้ามืด เวียนหัวและรู้สึกอ่อนเพลีย ฯลฯ ก็เป็นได้

โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวาน แม้ว่าไม่ควรกินน้ำตาลมากเพื่อควบคุมไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูง อย่างไรก็ดี ควรจะต้องกินน้ำตาลบ้าง ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลไม่ให้ต่ำลง

ซึ่งในคนทั่วไปก็เช่นเดียวกัน แต่ในกรณีที่กินน้ำตาลมากเกินไป จะเกิดโทษต่อร่างกายอย่างไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย

1.ไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

การกินน้ำตาลปริมาณมาก เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจากน้ำตาลหลายชนิดที่เรากินเข้าไปมักจะเข้าไปเก็บสะสมไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่เมื่อมีปริมาณมากจนเกินไปจะทำให้ตับส่งกรดไขมันไปตามกระแสเลือด โดยจะทำให้เข้าไปสะสมตามหน้าท้อง ก้น สะโพก หรือต้นขา จนทำให้มีรูปร่างอ้วนหรือมีไขมันส่วนเกินจนไม่น่ามองนั่นเอง

2.ทำให้กระดูกและฟันไม่แข็งแรง

น้ำตาลที่มีส่วนผสมของซูโครส ถือว่าเป็นอาหารชั้นดีให้กับเหล่าแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ คราบพลัก หรือเหงือกอักเสบได้ นอกจากนี้ ก็ยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคกระดูพรุนได้อีกด้วย

3.ภาวะเลือดเป็นกรด

การกินน้ำตาลที่มากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว เช่น น้ำตาลทราย หรือน้ำตาลฟรุกโตส น้ำตาลดังกล่าวจะเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายรับมากจนเกินไปจะทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดส่งผลให้ร่างกายเสียความสมดุลและระบบการทำงานของร่างกายล้มเหลวได้

4.ความดันเลือดเพิ่มสูง

น้ำตาลถือเป็นสารให้ความหวานที่มีไขมันจำนวนมาก โดยสารเหล่านี้จะทำให้เกิดกรดไขมันสะสมตามอวัยวะภายในที่สำคัญอย่างเช่น หัวใจ ตับ หรือไต ซึ่งทำให้การทำงานของอวัยวะดังกล่าวเป็นไปอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะถูกไขมันอุดตันจนทำให้เกิดอาการความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้นได้

5.ทำให้เกิดความเครียด

หลายคนอาจจะคิดว่าการกินน้ำตาลจำนวนมากมักจะทำให้รู้สึกคลายเครียด และแม้ว่าน้ำตาลจะช่วยลดสารคอร์ติซอลที่ทำให้เกิดความเครียดได้ก็ตาม แต่ผลลัพธ์ที่ตามมากลับจะยิ่งทำให้คุณเครียดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

6.เป็นสาเหตุของโรคร้าย

น้ำตาลถือเป็นตัวร้ายที่ทำให้ร่างกายเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน ตะคริว สิว ผื่น กระ แผลพุพอง แผลริดสีดวงทวารหนัก เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ และมะเร็งตับ ซึ่งอาการเจ็บป่วยเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากการกินน้ำตาลที่มากเกินไปทั้งสิ้น

7.ง่วงนอนมากขึ้น

หลายคนชื่นชอบการดื่มเครื่องดื่มเพื่อแก้ง่วงในช่วงเวลากลางวัน รู้ไว้เลยว่าไม่ได้ช่วยทำให้คุณหายง่วงได้อย่างแท้จริง เพราะการกินน้ำตาลหรืออาหารที่มีรสหวานจะทำให้การทำงานของสมองช้าลง ไม่สดชื่น ยิ่งเป็นเวลาในช่วงบ่ายด้วยแล้ว ยิ่งจะทำให้คุณง่วงนอนมากขึ้นเป็นสองเท่าเลยทีเดียว

8.ทำให้แก่เร็ว

น้ำตาลไม่ได้มีผลเสียต่อสุขภาพแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อด้านผิวพรรณหรือความงามอีกด้วย เพราะเมื่อเรากินน้ำตาลเข้าไป มันจะเข้าไปทำลายโครงสร้างของคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ในชั้นผิว จนทำให้เซลล์ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ผิวไม่กระชับเต่งตึงดังเดิม ส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นเร็วนั่นเอง

กินน้ำตาลอย่างไรให้เหมาะสม

1.กินน้ำตาลอย่างพอดี

การกินน้ำตาลไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่อย่างใด แต่ทุกคนควรจะกินน้ำตาลอย่างพอดี เนื่องจากทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ขนม หรือของกินต่างๆ ล้วนแต่มีส่วนผสมของน้ำตาลแทบทั้งสิ้น ดังนั้น ควรเลือกกินอาหารที่มีรสชาติปานกลาง ไม่หวานมากเกินไป อีกทั้งควรคำนวณว่าในแต่ละวันเราสามารถกินน้ำตาลได้วันละไม่ควรเกิน 4 ช้อนชาเท่านั้น จึงจะถือว่าปลอดภัยต่อร่างกายมากที่สุด

2.เลือกกินน้ำตาลทรายแดงแทนน้ำตาลทรายขาว

โดยปกติแล้ว ผู้คนมักจะนิยมกินน้ำตาลทรายขาวเป็นส่วนมาก แต่น้ำตาลขาวนั้นจะผ่านการฟอกด้วยสารเคมีหลายแบบจนอาจจะทำให้สารอาหารต่างๆ หายไป ขณะที่น้ำตาลทรายแดงจะไม่ได้รับการขัดสีออกไปจนหมด ซึ่งสีแดงๆ ของผลึกเม็ดน้ำตาลนั้นบ่งบอกถึงคุณค่าทางสารอาหารที่ยังคงมีอยู่ โดยจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายไปพร้อมๆ กัน

3.หลีกเลี่ยงน้ำตาลฟรุกโตสไซรัป

น้ำตาลชนิดนี้ถือเป็นส่วนประกอบของเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว และอาหารแทบทุกชนิด ซึ่งร่างกายไม่สามารถเผาผลาญน้ำตาลชนิดนี้ออกหมดได้ จึงทำให้เกิดน้ำตาลและไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญและรณรงค์เพื่อเลิกใช้น้ำตาลชนิดนี้ผสมลงในอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

4.งดดื่มเครื่องดื่มรสชาติหวาน

สำหรับใครที่ติดดื่มกาแฟ ชาเย็น น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มต่างๆ ที่มีรสหวาน ควรงดหรือหลีกเลี่ยงให้น้อยลง เนื่องจากเครื่องดื่มจำพวกนี้มีส่วนผสมของน้ำตาลจำนวนมาก ซึ่งหากบริโภคเข้าไปเป็นระยะเวลานานย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายแน่นอน

5.เลือกกินผลไม้ที่มีรสชาติไม่หวานมาก

ผลไม้ถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลจำนวนมาก สำหรับใครที่ชื่นชอบกินผลไม้ ควรเลือกผลไม้หวานน้อยจำพวกแอปเปิล ฝรั่ง กล้วย แก้วมังกร หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุอย่างครบถ้วน อีกทั้งยังมีใยอาหารซึ่งถือว่ามีประโยชน์และปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น

6.ทานแป้งอย่างพอดี

แป้ง ไม่เพียงแต่ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเมื่อถูกย่อยแล้ว แป้งจะแปรเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาล ซึ่งร่างกายจะนำไปใช้เป็นพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ แต่หากรับประทานแป้งมากจนเกินไป ในขณะที่ทำกิจกรรมในแต่ละวันน้อย ร่างกายก็ไม่อาจดึงเอาน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้หมด น้ำตาลที่เหลือก็ย่อมกลายเป็นไขมันไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ในที่สุด แนะนำให้ทานแป้งอย่างพอดีหรือทานคาร์โบเดรตเชิงซ้อนจากข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต โฮลเกรน หรือขนมปังโฮลวีทแทนจะดีกว่า

จะเห็นว่าน้ำตาลเป็นอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่สามารถกินน้ำตาลได้เลย กินได้… เพียงแต่จะต้องเลือกกินอย่างพอดี เพื่อไม่ให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา

ซึ่งการรักษานั้นอาจจะใช้ระยะเวลานานหรือทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้สูงกว่า อย่างไรแล้วก็ไม่ถือว่าคุ้มอยู่ดี ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ การควบคุมอาหารที่มีรสหวานเพื่อป้องกันอันตรายจากการกินน้ำตาลที่จะตามมาภายหลังย่อมเป็นวิธีการบริโภคที่ฉลาดที่สุด