วิธีรักษาและป้องกันรอยสิว ..เพื่อผิวหน้าเนียนใส

สิว ..ศัตรูตัวฉกาจของความสวย

เพราะว่าสิวนอกจากตอนเป็นจะทำให้หน้าของเราไม่สวยมีตุ่นนูนแตงหรือจุดดำเต็มไปหมดแล้ว

หลังจากสิวหายไปแล้วยังทำให้เกิดหลุมสิวได้อีกด้วย

หลุมสิวนั้นมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีการอักเสบของสิวในชั้นหนังแท้ โดยสิวในลักษณะแบบนี้มักที่จะมีหนองเกิดขึ้นด้วย และสิวที่เกิดขึ้นในชั้นหนังแท้จะไปทำลายคอลลาเจนในบริเวณของสิวลง สิวแบบนี้จึงมักทิ้งแผลเป็นไว้หลังสิวหาย ซึ่งลักษณะของผิวหนังหลังจากสิวหายแล้วจะมีได้หลายลักษณะแล้วแต่บุคคล

Photo Credit: eloissacunningham77

Photo Credit: eloissacunningham77

ลักษณะรอยแผลเป็นหลังจากการเป็นสิว

ปกติแล้วเราจะเจอลักษณะของรอยแผลหรือลักษณะของผิวหลังจากสิวหายทั้งหมด 4 ลักษณะคือ รอยแดง รอยดำ หลุมสิว และคีลอยด์ ซึ่งรอยแดงและรอยดำมักจะมีลักษณะเป็นจุดสีแดงหรือดำในบริเวณที่สิวเคยมีอยู่เป็นบริเวณเล็กๆ ส่วนคีลอยด์จะเป็นลักษณะของผิวที่มีการนูนขึ้นมาจากผิวปกติในบริเวณที่สิวเคยมีอยู่ และสุดท้ายหลุมสิวเป็นลักษณะของผิวหนังที่ยุบตัวลงในบริเวณที่สิวเคยมีอยู่

ประเภทของหลุมสิว

Rolling Scars หลุมสิวแบบนี้จะคล้ายกับแอ่งกระทะและจะมีขอบของหลุมสิวดูแล้วคล้ายกับรอยเหี่ยวย่น มักเกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่ ที่ผิวมีการซ่อมแซมตัวเองในระดับหนึ่งแต่การยุบตัวจากรอยสิวเกิดได้เร็วกว่าการสมานตัวกับผิว จึงเห็นเป็นรอยหลุมสิวนั่นเอง

Box Scars หลุมสิวที่คล้ายกับกล่องที่มีช่องลงไปปกติจะมีขนาดประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มักเกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่หรือการเป็นอีสุกอีใส

Ice Pick Scars หลุมสิวที่คล้ายกับมีอะไรแหลมๆทิ่มลงไป คือมีปากแผลเล็กแต่ลึกปกติจะมีขนาดมักจะไม่เกิน 0.5 มิลลิเมตรเท่านั้น

สาเหตุหลักๆ ของการเกิดสิว

– การบีบ แกะหรือเกาสิว ซึ่งจะทำให้สิวอักเสบมากขึ้น
– การไม่รักษาความสะอาดผิวหน้าที่ดีเพียงพอ
– การติดเชื้อแบคทีเรีย
– กรรมพันธุ์

การรักษารอยสิวและหลุมสิว

รอยสิวและหลุมสิวก็เหมือนแผลชนิดอื่นที่บางครั้งก็หายสนิทไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ แต่บางครั้งก็เห็นไปรอยเล็กๆ เท่านั้น  ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการรักษาทั้งสิ้น โดยหลักๆ มีการรักษาอยู่ 6 วิธี ได้แก่

1.ทาครีมลบรอยแผลเป็น ซึ่งทั่วไปมักมีส่วนผสมของวิตามิน E , กรดผลไม้ (AHA) , BHA ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้ และสาร AHA , BHA เป็นการทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดออกมา และเกิดการซ่อมแซมและดันหลุมสิวให้ดีขึ้น วิธีใช้คือทาในบริเวณของรอยสิว

2.การใช้ยาทาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามิน A ซึ่งข้อควรระวังคือยากลุ่มนี้อาจจะทำให้เกิดอาการสิวเห่อขึ้นได้ใยช่วงแรก

3.การใช้ยาแบบกินที่มีสารสกัดจากอนุพันธ์วิตามิน A เช่น  Acnotim , Lsortretinoin เป็นต้น

4.การแต้มกรด TCA ในบริเวณที่มีรอยสิว ซึ่งเป็นการทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนที่มีรอยแดงหรือรอยดำหลุดออกมา

5.หยุดดื่มแอลกอฮอล์และหยุดสูบบุหรี่ เพราะทั้ง 2 สิ่งนี้จะยับยั้งการสร้างคอลลาเจนซึ่งจำเป็นต่อการซ่อมแซมรอยแผลของเรานั่นเอง

6.การป้องกันการเกิดหลุมสิวใหม่ เป็นวิธีการรักษาและป้องกันที่ดีสุด อีกทั้งเมื่อเกิดสิวอักเสบขึ้นเราต้องรักษาให้หายจากอาการอักเสบให้เร็วที่สุด เพราะสิวที่อักเสบมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำลายผิวลึกเท่านั้นซึ่งรวมไปถึงโอกาสของการเกิดสิวด้วย ปกติแล้วก็จะมีการใช้ยาเช่น Benzac หรือการทานยาปฏิชีวนะ และวิธีการป้องกันอื่นๆ เช่น
– หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งสกปรกต่างๆ ทั้งมือเราและมลภาวะอื่นๆ
– อย่าใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะจะทำให้เกิดการอุดตันและเป็นสิวในที่สุด ซึ่งรวมไปถึงการกำจัดความมันของใบหน้าอย่างถูกวิธีด้วย
– สระผมทุกวัน เพราะผมมีโอกาสสัมผัสกับใบหน้าได้สูง โดยเฉพาะคนผมยาว
– ไม่ควรนอนดึกมาก เพราะฮอร์โมนจะเปลี่ยนแปลงและมีผลต่อการเกิดสิวได้
– อย่าล้างหน้าบ่อยเพราะจะทำให้หน้าแห้งและเกิดอาการแพ้ได้ง่าย แนะนำให้ล้างเพียงวันละ 2 ครั้งด้วยน้ำสะอาดและผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเท่านั้น
– การใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของสิว หากมีสิวบ่อยเพื่อเป็นการลดความรุนแรงของสิวลง เช่น clindamycin gel เป็นต้น

ทราบกันเช่นนี้แล้ว สาวๆ อย่าปล่อยให้ใบหน้าเราต้องเผชิญความเสี่ยงในการเกิดสิวอีกนะคะ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ควรรีบเร่งรักษาสิวไม่ให้ลุกลามบานปลายหนักขึ้น จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดรอยหลุมสิวตามมาจนยากแก่การรักษาต่อไป เพียงเท่านี้ใบหน้าเรียบเนียนกระจ่างใสไร้สิวก็จะเป็นของคุณได้อย่างไม่ยากเย็นแล้วค่ะ

Related Posts