ในแวดวงความสวยความงามทุกวันนี้ ใครไม่รู้จักคำว่า คอลลาเจน คงถูกมองแปลกอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะสาวๆ ที่รักสวยรักงามคงตอบรับ “คอลลาเจน” เข้ามาไว้ในชีวิตอย่างน้อยก็หนึ่งอย่าง
ครีมบำรุงผิวผสมคอลลาเจน อาหารเสริมคอลลาเจน สถานเสริมความงามก็ต้องมีสักสูตรที่มีคอลลาเจนเข้ามาเกี่ยวข้อง เรียกว่า คอลลาเจนสารพัดประโยชน์ ทั้งกิน ทั้งทา เพื่อจะให้คอลลาเจนเหล่านั้นเข้าไปเยียวยาเรื่องผิวพรรณ เสริมความงามให้ดูเปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวา
ว่าแต่ว่า…คอลลาเจนมีดีอย่างที่ว่าจริงหรือ และสารพัดประโยชน์ขนาดนั้นจริงมั้ย ชีวิตเราควรใกล้ชิดคอลลาเจนเหล่านั้นขนาดไหน มาดูกันดีกว่าค่ะ
คอลลาเจนคืออะไร มาจากไหน
ความรู้ของคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับคอลลาเจนมักจะเป็นที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง ซึ่งก็ไม่ผิดเพราะคอลลาเจนชนิดหนึ่งนั้นเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้ชั้นหนังแท้ของเรา คอยทำหน้าที่ทำให้ผิวของเรามีความเรียบตึง
ซึ่งคอลลาเจนชนิดนี้จะทำหน้าที่คู่กับโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “อิลาสติน” โปรตีนสองตัวนี้นั่นเองที่ทำให้ผิวของคนเรามีความเต่งตึงและยืดหยุ่นดี ผิวที่มีความยืดหยุ่นจะกลับคืนสู่สภาพได้ง่าย ไม่เป็นเหตุให้มีริ้วรอย
อย่างที่บอกว่า คอลลาเจนโปรตีนเป็นเพียงคอลลาเจนชนิดหนึ่งในร่างกาย เพราะในความจริงแล้วคอลลาเจนมีมากกว่านั้นและอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ผิวของทารกหรือผิวที่สร้างใหม่ คอลลาเจนที่กระดูกอ่อน เส้นเอ็น เส้นเลือด ทางเดินอาหาร เยื่อหุ้มเซลล์ และอื่นๆ
แต่เอาเป็นว่า ในฐานะที่คอลลาเจนที่กำลังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือ คอลลาเจนที่อยู่ใต้หนังแท้ คอลลาเจนที่พบที่ผิวเด็กๆ ซึ่งคอลลาเจนโปรตีนมีปริมาณถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกายของเราทีเดียว
การทำงานของคอลลาเจนในร่างกาย
เฉพาะคอลลาเจนที่เกี่ยวข้องกับผิวพรรณ ธรรมชาติในวัยเด็กจะมีคอลลาเจนโปรตีนมาก เราจึงเห็นผิวของเด็กๆ เนียนละเอียด ดูชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่นดี และโดยธรรมชาติอีกนั่นแหละที่ทำให้เมื่อเติบโตขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวหนังแท้จะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาแทนคอลลาเจนที่พบในผิวเด็ก
และคอลลาเจนที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่เหล่านี้จะคงสภาพเดิมอยู่จนถึงอายุ 25 ปี จากนั้นก็เสื่อมสภาพลงในอัตรา 1.5% ต่อปี คอลลาเจนที่เสื่อมมีมากกว่าคอลลาเจนที่สังเคราะห์เพิ่มมาใหม่ ทำให้ผิวขาดความกระชับตึงและยุบตัวลง
นี่แค่ธรรมชาติก็ทำร้ายผิวเราเองแบบนี้แล้ว แต่ชีวิตประจำวันของคนเราทุกวันนี้มีส่วนทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้นไปอีก ตั้งแต่อาหารที่ถูกปรุงแต่ง อนุมูลอิสระที่ปนเปื้อน และอันตรายจากแสงแดดที่ต้องเผชิญอยู่ทุกวัน
เอาเป็นว่า ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไปหรือถ้าจะยอมรับความจริงกันก็ต้องบอกว่า เดี๋ยวนี้ไม่ต้องถึง 25 ผิวพรรณของเราก็ถูกธรรมชาติลงโทษไปเยอะแล้ว ริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวพรรณแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น ทำให้ต้องมีการบำรุงเสริมกันยกใหญ่
จุดนี้นี่เองทำให้ “คอลลาเจน” เข้ามาสร้างชื่อเสียงในท้องตลาด ครีมบำรุงผิวผสมคอลลาเจน อาหารเสริมคอลลาเจน จะกินหรือจะทาได้เลยตามอัธยาศัย แต่ว่าเรามาหาความรู้หน่อยดีมั้ยว่าสินค้าที่เราเลือกใช้นั้นมีสรรพคุณอย่างที่เราต้องการจริงหรือเปล่า
เปิดเผยความจริงจากคอลลาเจน
คอลลาเจนเป็นโปรตีนโมเลกุลใหญ่ระดับใหญ่มากและมีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งคือสามารถอุ้มน้ำได้ถึง 30 เท่าของตัวมันเอง ความจริงนี้แหละที่ทำให้คอลลาเจนไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ด้วยการทา อย่างมากก็ซึมเข้าสู่ผิวที่เป็นหนังกำพร้าชั้นนอกช่วยให้ผิวพรรณดูสดชื่น แต่จะให้ลึกซึ้งเข้าไปถึงใต้ผิวแท้ซึ่งเป็นที่อยู่เดิมของคอลลาเจนธรรมชาตินั้น ใช่หรือ?
การฉีดคอลลาเจนล่ะ ดีกว่าใช่มั้ย เราต้องเข้าใจนะว่าการฉีดอะไรเข้าร่างกายก็ล้วนแต่เป็นสิ่งแปลกปลอมทั้งนั้น คอลลาเจนก็เหมือนกัน
อาจทำให้เกิดอาการแพ้และผลที่ได้ว่ากันตามจริงคงไม่ได้ผลถึงขนาดทำให้ริ้วรอยหายไปราวกับเป็นสาวขึ้นมาอีกครั้ง
แค่ช่วยให้ดีขึ้นชั่วคราว ไม่ใช่ยารักษาเพราะสิ่งที่เสื่อมไปแล้วจะให้ฟื้นกลับมาดีเหมือนเดิมคงเป็นไปไม่ได้ และที่สำคัญก็คือ คอลลาเจนจะสลายตัวหมดภายใน 6-24 เดือน ถ้าฉีดแล้วก็ต้องฉีดบ่อยๆ การฉีดบ่อยก็มีผลอีกทำให้แพ้ง่ายขึ้น
การกินคอลลาเจน ทาก็ไม่ซึมลึก ฉีดก็มีผลข้างเคียง ขอเปลี่ยนเป็นกินแล้วกัน คอลลาเจนก็คือโปรตีนชนิดหนึ่ง กินได้ แต่โปรตีนโมเลกุลใหญ่อย่างคอลลาเจนไม่สามารถดูดซึมได้ในทันทีต้องเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนก่อน
เคล็ดลับจากคอลลาเจน
คอลลาเจนเสริมสร้างได้จากการใช้ชีวิตที่สมดุล รับประทานอาหารที่เสริมสร้างคอลลาเจน นอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ สุขภาพที่ดี ต่อมเหงื่อได้รับการกระตุ้น พลอยให้ผิวของเราสดใส ใบหน้าไม่โทรม ส่วนครีมบำรุงนั้นก็ต้องมีบ้างช่วยธรรมชาติสักหน่อย
อาหารช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
อาหารหลายอย่างสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มีหลายหมวดหมู่
1. ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง เนยแข็งและชีส
2. ผักใบเขียวเข้ม ผักผลไม้ที่มีวิตามินเอสูงๆ ผลไม้สีแดง ส้ม มีสารต้านออกซิเดชั่น ต้านอนุมูลอิสระ เช่น มะเขือเทศ พริกหยวกแดง ผลไม้สีแดงเข้ม เช่น บลูเบอรี่ แบล็กเบอรี่
3. อาหารทะเลที่มีสารโอเมก้า เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน
ร่างกายของเรามีธรรมชาติที่เอื้อเฟื้อในเรื่องการฟื้นฟูอยู่แล้วคืออาหารที่สมดุล การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกาย จัดให้ลงตัว เชื่อเถอะว่า ชีวิตยังไม่มีทางลัด 100% สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นส่วนเสริมได้ แต่อย่าให้เป็นทั้งหมดของชีวิต