หลายคนคงจะเคยได้ยินกันว่าวิตามินซีมีส่วนช่วยในการแก้หวัด ซึ่งจะช่วยบรรเทาและป้องกันไข้หวัดได้อย่างดีเยี่ยม
เพียงแค่ทานวิตามินซีเสริมหรือทานผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีเท่านั้น แต่ก็ยังคงเป็นข้อสงสัยสำหรับหลายๆ คน
ว่าวิตามินซีสามารถช่วยแก้อาการไข้หวัดได้จริงหรือ แก้ได้อย่างไรและมีวิธีการทานวิตามินซีอย่างไรเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด เพราะฉะนั้นในบทความนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกัน
รู้จักกับวิตามินซี
วิตามินซี คือวิตามินชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกายของคนเรา เพราะมีประโยชน์อย่างมากมายและสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้นกันให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยวิตามินซีสามารถละลายน้ำได้
จึงทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้ดีพอสมควร โดยพบว่าในหนึ่วันร่างกายของคนเราจะมีความต้องการวิตามินซีที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น
- วัยเด็ก 1-8 ปี ต้องการวิตามินซีวันละ 35 มก.
- วัยรุ่น 13-15 ปี ต้องการวิตามินซีวันละ 75 มก.(ผู้ชาย) และ 65 มก.(ผู้หญิง)
- วัย 19 + ปี ต้องการวิตามินซีวันละ 90 มก.(ผู้ชาย) และ 75 มก.(ผู้หญิง)
- หญิงตั้งครรภ์ ต้องการวิตามินซีวันละ เพิ่มขึ้นจากปกติ 10 มก.
วิตามินซี แก้หวัดได้จริงหรือไม่?
เป็นคำถามที่หลายคนเกิดความค้างคา ว่าวิตามินซีจะสามารถแก้อาการไข้หวัดได้จริงหรือไม่ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า วิตามินซีมีส่วนช่วยในการแก้หวัดได้จริง แต่ทำได้แค่ช่วยลดความรุนแรงของอาการป่วยและฟื้นฟูสุขภาพให้หายจากอาการป่วยเร็วขึ้นเท่านั้น
สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดไข้หวัด ยังไม่พบว่าวิตามินซีสามารถป้องกันได้จริงหรือไม่ แต่การทานวิตามินซีเป็นประจำ ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนการที่วิตามินซีสามารถลดความรุนแรงของอาการป่วยได้อย่างไร
นั่นก็เพราะวิตามินซีมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน จึงทำให้อาการป่วยทุเลาลงอย่างที่เข้าใจนั่นเอง
ประโยชน์ของวิตามินซีที่มีต่อสุขภาพ
ไม่เพียงแต่อาการไข้หวัดเท่านั้น ที่วิตามินซีสามารถลดความรุนแรงของอาการป่วยได้ แต่ยังมีโรคอื่นๆ ที่สามารถบรรเทาอาการด้วยการทานวิตามินซีได้อีกด้วย ซึ่งได้แก่
1.โรคภูมิแพ้
วิตามินซีสามารถบรรเทาอาการป่วยจากโรคภูมิแพ้ได้ โดยเฉพาะภูมิแพ้อากาศและหอบหืด ซึ่งจะช่วยให้อาการค่อยๆ ดีขึ้น และจะยิ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทานวิตามินซีควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์ นั่นก็เพราะโรคภูมิแพ้เกิดจากการที่ร่างกายอ่อนแอ การทานวิตามินซีจึงเข้าไปเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงจนสามารถบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ได้นั่นเอง
2.อาการปวดไมเกรน
วิตามินซีเมื่อนำมาทานคู่กับกรดแพนโทเธนิค จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ดี เนื่องจากวิตามินซีและกรดตัวนี้จะออกฤทธิ์ยับยั้งอาการปวดและคลายเส้นเลือดให้เลือดไหลเวียนได้อย่างสะดวกมากขึ้น
3.โรคลักปิดลักเปิด
โรคฮิตในคนที่ขาดวิตามินซี ซึ่งวิธีที่จะช่วยรักษาและป้องกันโรคนี้ได้ดี ก็คือการทานวิตามินซีให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั่นเอง นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
4.โรคมะเร็ง
การทานวิตามินซีบ่อยๆ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม หรือในผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง การทานวิตามินซีบ่อยๆ ก็สามารถชะลออาการและยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน
แหล่งวิตามินซีที่พบในธรรมชาติ
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะสามารถทานวิตามินซีได้จากวิตามินเสริม แต่เพื่อสุขภาพและเพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ดีที่สุด ควรเลือกทานวิตามินซีจากแหล่งที่พบในธรรมชาติดีกว่า ซึ่งต้องบอกเลยว่าผักผลไม้ในเมืองไทยของเรานั้นก็มีวิตามินซีไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเราก็ได้รวบรวมผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมายกตัวอย่างให้ได้รู้จักกันดังนี้
- ฝรั่ง ผลไม้ที่มีความกรอบอร่อย โดยพบว่าการทานฝรั่ง 100 กรัม จะได้รับวิตามินซีสูงถึง 160 มิลลิกรัมและยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย แต่การทานฝรั่งเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดแนะนำให้ทานทั้งเปลือก เพราะวิตามินซีส่วนใหญ่จะอยู่ที่เปลือกของฝรั่งนั่นเอง
- มะละกอสุก เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานอร่อยและขึ้นชื่อในการเป็นยาระบาย ช่วยขับปัสสาวะ รวมถึงรักษาอาการเลือดออกตามไรฟันและโรคลักปิดลักเปิดได้ดี โดยพบว่าการทานมะละกอสุก 100 กรัม จะได้รับวิตามินซีสูงถึง 70 มิลลิกรัมเลยทีเดียว
- ส้มโอ ผลไม้ที่นอกจากทานสดๆ แล้วก็สามารถนำไปทำยำ สลัดหรือส้มตำได้อีกด้วย โดยพบว่าส้มโอ 100 กรัม สามารถให้วิตามินซีได้มากถึง 44 มิลลิกรัม และช่วยแก้อาการไข้หวัด ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะหรือบรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้องได้เป็นอย่างดี รู้แบบนี้มาทานส้มโอเพื่อสุขภาพกันเถอะ
- พริกหยวกสีเขียว ใครที่ชอบทานพริกหยวก ขอบอกเลยว่าพริกหยวกสีเขียวนี่แหละแหล่งวิตามินซีเลยทีเดียว ซึ่งพบว่าในพริกหยวกสับประมาณครึ่งถ้วย จะมีวิตามินซีมากถึง 60 มิลลิกรัม โดยสามารถทานแบบสดๆ หรือนำไปปรุงอาหารก็ได้ แต่การทานแบบสดๆ จะได้รับวิตามินซีและคุณค่าทางอาหารที่สูงกว่า
- ถั่วลันเตา หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่าถั่วลันเตาจะมีวิตามินซีด้วย แต่ขอบอกเลยว่าถั่วลันเตาประมาณ 100 กรัม มีวิตามินซีมากถึง 60 มิลลิกรัม และสามารถนำไปปรุงอาหารได้อย่างหลากหลาย ซึ่งก็ให้รสชาติที่อร่อยไม่น้อยเลยทีเดียว
- มะขามป้อม สำหรับใครที่ร่างกายกำลังขาดวิตามินซี ต้องทานมะขามป้อมกันเลย เพราะมะขามป้อม 100 กรัมพบว่ามีวิตามินซีแฝงอยู่มากถึง 276 มิลลิกรัม ซึ่งหากนำมะขามป้อมมาคั้นน้ำดื่มก็จะได้รับวิตามินซีและคุณประโยชน์ที่สูงกว่าน้ำส้มคั้นถึง 20 เท่า แถมเป็นยาแก้ไข้หวัดและแก้อาการไอ ขับเสมหะได้ดีอีกด้วย
- ลิ้นจี่ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่มีสรรพคุณในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง แก้อาการไอเรื้อรัง ขับเสมหะและบำรุงหลอดเลือดได้อย่างดีเยี่ยม โดยพบว่าในลิ้นจี่ 100 กรัมจะมีวิตามินซีประมาณ 71 มิลลิกรัม แต่อย่างไรก็ตามในลิ้นจี่มีสารชนิดหนึ่งที่จะทำให้เกิดอาการร้อนในได้ จึงไม่ควรทานมากเกินไปนั่นเอง
- บร็อคโคลี่ ผักที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้อย่างหลากหลายและอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ซึ่งพบว่าในบร็อคโคลีก็มีวิตามินซีไม่น้อยเหมือนกัน จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมวิตามินซีให้กับร่างกายเป็นอย่างมาก โดยพบว่าบร็อคโคลีสุกประมาณครึ่งถ้วยจะมีวิตามินซีประกอบอยู่ประมาณ 51 มิลลิกรัมเลยทีเดียว
- ส้ม ผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของวิตามินซี เพราะเมื่อพูดถึงวิตามินซีคนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงส้มทันที โดยส้ม 1 ผล พบว่ามีวิตามินซีอยู่มากถึง 82 มิลลิกรัม ดังนั้นสำหรับใครที่มักจะทานส้มบ่อยๆ รับรองได้เลยว่าไม่มีปัญหาเรื่องการขาดวิตามินซีอย่างแน่นอน
- สตรอว์เบอร์รี่ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่ราคาสูงมาก แต่ก็มีความอร่อยและอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะวิตามินซี ซึ่งการทานสตรอว์เบอร์รี่ประมาณ 100 กรัมจะพบว่ามีวิตามินซีประกอบอยู่มากถึง 66 มิลลิกรัมเลยเชียว แถมยังอุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน ที่จะช่วยดับกลิ่นปาก ลดระดับคอเลสเตอรอลและดูแลสุขภาพเหงือกและฟันได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย
- ขี้เหล็ก ผักที่มีรสชาติขม ซึ่งหลายคนอาจไม่ค่อยปลื้มกับผักชนิดนี้มากนัก แต่ก็ต้องบอกเลยว่าเข้าตำหรับหวานเป็นลม ขมเป็นยาเลยทีเดียว โดยพบว่าในขี้เหล็ก 100 กรัม มีปริมาณวิตามินซีสูงถึง 484 มิลลิกรัม ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นลองมองข้ามเรื่องรสชาติของมันแล้วหันมาทานขี้เหล็กให้มากขึ้นกันดีกว่า
- ใบย่านาง พืชผักสมุนไพรที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของเมนูยำต่างๆ ซึ่งนอกจากจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมายแล้ว ก็มีวิตามินซีมากถึง 141 มิลลิกรัม/100กรัม อีกด้วย วิตามินซีสูงแบบนี้จะพลาดไม่ได้เลยเชียว
ทานวิตามินซีเสริมดีไหม?
เนื่องจากในปัจจุบัน มีวิตามินซีเสริมออกมาวางขายมากมาย จึงทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่าจะทานวิตามินซีเสริมดีไหมและควรเลือกทานวิตามินซีเสริมอย่างไร ซึ่งก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ผลิตภัณฑ์วิตามินซีเสริม ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเสริมบำรุงร่างกายในผู้ที่ขาดวิตามินซีโดยเฉพาะ
โดยได้มีการคำนวณปริมาณของวิตามินซีที่ควรได้รับในแต่ละวันอย่างได้มาตรฐานและส่วนใหญ่จะผ่านการตรวจสอบจาก อย. มาเป็นอย่างดี จึงมั่นใจถึงความปลอดภัยได้เลย
แต่อย่างไรก็ตามในคนปกติควรทานวิตามินซีจากธรรมชาติมากกว่า ยกเว้นผู้ที่กำลังป่วยหรือร่างกายขาดวิตามินซีอย่างหนัก จึงจะเลือกทานวิตามินซีในรูปของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมนั่นเอง
วิตามินซีเสริมมีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง?
ในปัจจุบันวิตามินซีเสริมที่ถูกนำออกมาขายในท้องตลาดมีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่งก็ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับผู้คนมากขึ้น และตอบโจทย์ความทันสมัยของยุคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยรูปแบบของวิตามินซีเสริมก็มีทั้งหมด 6 รูปแบบดังนี้
1.วิตามินซีเสริมแบบเม็ดอม
เป็นวิตามินซีที่จะทานโดยการอมไว้ในปากจนกว่าวิตามินซีจะละลายหมด ส่วนใหญ่จะมีขนาดของวิตามินซีประมาณ 25, 50, 100 และ 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด แต่การทานวิตามินซีแบบเม็ดอมบ่อยๆ ก็มีผลเสียต่อสุขภาพฟันได้เหมือนกัน เพราะวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นกรด จึงอาจทำลายเคลือบฟันให้บางลงจนเกิดปัญหาฟันกร่อนได้นั่นเอง
2.วิตามินซีเสริมแบบแคปซูล
วิตามินซีในรูปแบบนี้จะมีทั้งแบบที่เป็นแคปซูลแข็งและแคปซูลนิ่ม โดยมีปริมาณของวิตามินซีที่ 500 มิลลิกรัมต่อแคปซูล แถมสามารถกลืนได้ง่ายและไม่มีรสชาติ จึงเหมาะกับผู้ที่ทานยายากหรือไม่ชอบรสชาติของวิตามินซีได้เป็นอย่างดี
3.วิตามินซีแบบเม็ด
วิตามินซีที่มาในรูปแบบเม็ดเหมือนตัวยาทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมให้ทานหลังอาหารเพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารนั่นเอง แต่ก็มักจะมีขนาดใหญ่ทำให้กลืนยาได้ลำบาก จึงไม่ค่อยเหมาะกับผู้ที่ทานยายากมากนัก
4.วิตามินซีแบบเม็ดเคี้ยว
วิตามินซีที่ออกแบบมาเพื่อเด็กๆ โดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสีและรสชาติอร่อยน่าทานและมีขนาดของวิตามินซี 30 มิลลิกรัมต่อเม็ด แถมทานง่ายเพียงแค่เคี้ยวจนตัวยาละลายหมดเท่านั้น แต่วิตามินซีแบบนี้ก็มักจะมีปริมาณของน้ำตาลค่อนข้างสูง เมื่อทานมากเกินไปจึงอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำให้ฟันผุได้นั่นเอง
5.วิตามินซีแบบฉีด
วิตามินซีรูปแบบนี้จะใช้โดยการพิจารณาจากแพทย์เท่านั้น โดยส่วนใหญ่จะใช้กับผู้ที่มีอาการขาดวิตามินซีอย่างหนัก หรือต้องการเสริมวิตามินซีเพื่อบรรเทาอาการของโรคบางชนิดนั่นเอง จึงมักจะไม่ค่อยพบเห็นมากนัก แต่อย่างไรในปัจจุบันก็มีการฉีดวิตามินซีเพื่อผิวขาวเช่นกัน
6.วิตามินซีแบบเม็ดฟู่
เป็นรูปแบบวิตามินซีที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาการทานวิตามินซีในรูปแบบเม็ดหรือไม่สามารถกลืนเม็ดยาขนาดใหญ่ได้ โดยวิตามินซีในลักษณะนี้ก่อนทานจะนำไปละลายในน้ำก่อน ซึ่งจะเกิดเป็นฟองฟู่ขึ้นมา จากนั้นรอให้ฟองหมดแล้วค่อยๆ ดื่มทีละนิด โดยส่วนใหญ่จะมีขนาดวิตามินซีประมาณ 500 และ 1,000 มิลลิกรัมต่อเม็ดนั่นอง
เมื่อร่างกายขาดวิตามินซีจะเป็นอย่างไร?
เพราะร่างกายของคนเรามีความต้องการวิตามินซีอย่างเพียงพอ ดังนั้นหากขาดวิตามินซีจึงมักจะมีผลกระทบต่อสุขภาพเกิดขึ้น ซึ่งอาการที่เห็นได้อย่างชัดเจน ได้แก่
- อ่อนเพลียและรู้สึกเบื่ออาหาร แม้ว่าจะได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่ก็ยังคงรู้สึกขาดความกระปรี้กระเปร่า ไม่สดชื่นและไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเอาเสียเลย ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะตามมาด้วยอาการปวดตามข้อต่อของร่างกาย เจ็บกระดูกและอาการเลือดออกตามไรฟันนั่นเอง
- ติดเชื้อได้ง่าย จึงมักจะมีอาการป่วยบ่อยกว่าปกติ นั่นก็เพราะเมื่อร่างกายขาดวิตามินซีก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงไปด้วย เป็นผลให้ร่างกายมีโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียสูงมาก นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
- แผลหายช้า ไม่ใช่แค่ผลข้างเคียงของการเป็นโรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามินซีอีกด้วย เพราะโดยปกติวิตามินซีจะทำหน้าที่ในการลดการอักเสบและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย จึงทำให้แผลหายเร็ว ดังนั้นเมื่อขาดวิตามินซีบาดแผลที่เกิดขึ้นบนร่างกายจึงมักจะหายช้ากว่าปกติ แม้ว่าจะเป็นบาดแผลเล็กๆ ก็ตาม
- เป็นโรคลักปิดลักเปิด โรคนี้มักจะเกิดกับผู้ที่ขาดวิตามินซีมากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับวิตามินซีน้อยกว่าวันละ 10 มิลลิกรัม ซึ่งนอกจากโรคนี้แล้วก็อาจเสี่ยงต่อการมีบุตรยากและเป็นโรคโลหิตจางได้อีกด้วย
วิตามินซี ได้รับมากเกินก็มีโทษ
ถึงแม้ว่าวิตามินซีจะมีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราและควรได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอเสมอ แต่การได้รับมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดโทษได้เหมือนกัน โดยมีอันตรายจากวิตามินซีดังนี้
- เสี่ยงเป็นนิ่วในไต เพราะวิตามินซีจะไปรบกวนการดูดซึมของซีลีเนียมและทองแดง ที่มีความจำเป็นต่อการป้องกันนิ่วในไต จึงทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วมากขึ้นและมีความอันตรายไม่น้อยเลยทีเดียว
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ ส่วนใหญ่จะเกิดจากการได้รับวิตามินซีมากกว่า 10,000 มิลลิกรัมต่อวัน จึงทำให้มีอาการแน่นท้องและท้องอืดได้ นอกจากนี้ก็อาจเกิดอาการท้องสียได้อีกด้วย
เคล็ดลับการทานวิตามินซีเพื่อผลลัพธ์ดีที่สุด
การทานวิตามินซีให้เกิดประโยชน์และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่เลือกทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงเท่านั้น แต่ต้องรู้จักทานให้ถูกวิธีและถูกเวลาอีกด้วย โดยเราก็มีเคล็ดลับการทานวิตามินซีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมาแนะนำเช่นกัน ซึ่งจะมีวิธีไหนบ้างนั้นมาดูกันเลย
1.ทานพร้อมอาหาร
เพราะวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นกรด การทานในขณะที่ท้องกำลังว่าง จึงอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ ดังนั้นจึงควรทานพร้อมอาหารหรือหลังมื้ออาหารจะดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซีที่ได้จากธรรมชาติหรือวิตามินซีเสริมก็ตาม นอกจากนี้การทานวิตามินซีในช่วงดังกล่าวก็จะทำให้วิตามินซีถูกดูดซึมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดอีกด้วย
2.ทานตอนเช้าประมาณ 9-10 โมง
จากการวิจัยพบว่า ร่างกายของคนเราสามารถดูดซึมวิตามินซีและนำไปใช้งานได้ดีที่สุดในช่วงเช้าประมาณ 9 – 10 โมง ดังนั้นจึงควรทานวิตามินซีในช่วงเช้าเป็นหลัก โดยอาจจัดผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีสักจานมาไว้ทานเป็นอาหารว่างในขณะนั่งทำงานก็ได้
3.ทานในปริมาณที่เหมาะสม
ร่างกายของคนเรามีความต้องการวิตามินซีที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงควรทานวิตามินซีให้เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยจากการศึกษาพบว่า
- ผู้หญิงที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินซีอย่างน้อย 60 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยหรือร่างกายอ่อนแอ ควรได้รับวิตามินซีอย่างน้อยประมาณ 1,000 – 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้ที่อยู่ท่ามกลางมลพิษ สูบบุหรี่หรือมักจะมีความเครียดบ่อยๆ ควรได้รับวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม
4.ทานวันละ 2 ครั้ง เช้า–เย็น
สำหรับคนปกติ การทานวิตามินซีวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ก็เพียงพอที่จะช่วยบำรุงร่างกายและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ควรเลี่ยงการทานก่อนนอน เพราะอาจทำให้ร่างกายตื่นตัวจนเกิดอาการนอนไม่หลับได้นั่นเอง
จะเห็นได้ว่าวิตามินซีสามารถบรรเทาอาการไข้หวัดได้จริงและประโยชน์ของวิตามินซีก็มีมากมายอีกด้วย เพราะฉะนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีควรหันมาทานวิตามินซีกันให้มากขึ้น โดยเลือกทานจากผักผลไม้ธรรมชาติเป็นหลัก
เนื่องจากจะให้คุณประโยชน์ที่สูงกว่าการทานวิตามินซีเสริมนั่นเอง ที่สำคัญต้องทานให้ถูกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียตามมาอีกด้วย ใครอยากมีสุขภาพดี แข็งแรง ขอบอกเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด
reference
https://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminC-Consumer/
http://www.webmd.com/cold-and-flu/cold-guide/vitamin-c-for-common-cold#1