การจัดฟันเป็นวิธีการแก้ปัญหาของสุขภาพปากทางหนึ่ง
ซึ่งเราจะสามารถแก้ปัญหาความผิดปกติของฟันลักษณะต่างๆ จนส่งผลเสียให้การทำงานของระบบการเคี้ยวผิดปกติ
อย่างเช่น การเกิดฟันซ้อน ฟันเก ฟันห่าง หรือแม้กระทั่งฟันยื่น เหล่านี้ จะช่วยให้ฟันของเราที่ถูกจัดแล้วสามารถกลับมาเรียงตัวสวยงามได้อีกครั้ง
และช่วยให้การทำงานภายในช่องปากมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการจัดฟันจะต้องใช้เวลาในการดูแลรักษานานพอสมควรจึงจะทำให้ฟันที่มีปัญหาสามารถกลับเข้าที่ปกติได้
ทั้งนี้การจัดฟันนอกจากจะทำให้ฟันของเราแลดูสวยงามแล้ว ยังช่วยเปลี่ยนรูปโครงหน้าเราให้ดูดีขึ้นมาได้ ในปัจจุบันเราจึงเห็นค่านิยมของการจัดฟันแฟชั่นแพร่หลายมากขึ้น
โดยคนในกลุ่มนี้มักจะไม่มีปัญหาทางด้านช่องปากจริงๆ อีกทั้งไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องจัดฟันที่ดี เมื่อนานวันเข้าก็อาจจะส่งผลเสียรุนแรงต่อสุขภาพปากและฟันของเราตามมาได้อย่างมากมาย
ดังนั้นแล้วก่อนที่เราจะเลือกจัดฟันก็ควรพิจารณาให้ดีเสียก่อนว่าฟันของเรามีปัญหาจริงๆ หรือเพียงแค่ต้องการทำตามกระแสนิยมเท่านั้น
ใครกันแน่ที่ “จำเป็น” ต้องจัดฟัน?
ตามคำแนะนำของทันตแพทย์แล้วใช่ว่าใครๆ จะสามารถจัดฟันได้ทุกคน หากไม่มีความจำเป็นคุณหมอก็คงจะไม่แนะนำให้เราจัดฟันอย่างแน่นอน
เพราะว่าการจัดฟันมีค่าใช้จ่ายที่สูงและต้องใช้เวลาในการจัดหลายครั้งจึงจะสำเร็จผล แถมหลังจากจัดฟันแล้วเราจะต้องคอยดูแลใส่ใจความสะอาดในช่องปากของเราเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายถึงเวลาความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นสำหรับคนที่ต้องการจัดฟันตามแฟชั่นเท่านั้น
ซึ่งในที่นี่ “ความจำเป็น” ในการจัดฟันจริงๆ แล้วจะต้องเป็นคนที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพฟันที่ผิดปกติจริงๆ อันได้แก่ ฟันยื่น ฟันซ้อนเก ฟันกัดคล่อม ฟันห่าง ฟันสบลึก ฟันสบเปิดและฟันกัดเบี้ยว เหล่านี้
ซึ่งเมื่อปล่อยทิ้งเอาไว้ในระยะยาวก็อาจจะส่งผลเสียต่อการเคี้ยวอาหาร การพัฒนาของฟันแท้ เสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือกอักเสบ และอาจจะส่งผลให้โครงรูปใบหน้าผิดปกติ
เริ่มต้นจัดฟันอย่างไรดี?
สำหรับคนที่เริ่มต้นการจัดฟัน เราจะต้องศึกษาหาความรู้ในด้านปฏิบัติต่างๆ ต่อสุขภาพฟันก่อนจัดและหลังการจัดให้ดี ซึ่งโดยทั่วไปการจัดฟันจะต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี
จึงจะทำให้ฟันที่ผิดปกติเริ่มเข้ารูป และจะต้องมีเวลาไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจและแก้ไขทุกๆ 4-6 อาทิตย์ ซึ่งการจัดฟันที่ดีควรเริ่มจัดตั้งแต่ในเด็กอายุประมาณ 10-11 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีฟันกรามแท้ขึ้นมาแล้ว
เพราะเมื่อเราตรวจพบปัญหาของฟันที่ผิดปกติก็จะช่วยให้การรักษาสามารถทำได้ทันท่วงที และง่ายต่อการรักษาต่อไปในอนาคตด้วย
ผลกระทบหลังจากการจัดฟันที่ตามมา
การจัดฟันใช่จะมีเพียงแค่ขอดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเมื่อเราใช้เครื่องมือเกาะติดอยู่บนผิวฟันแล้วก็จะทำให้ผู้ที่จัดฟัน มีความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุและภาวะเหงือกอักเสบได้ง่ายกว่า
เนื่องมาจากการทำความสะอาดฟันที่เข้าถึงได้ยาก ผู้ที่จัดฟันจะต้องคอยดูแลใส่ใจสุขภาพฟันของตัวเองมากกว่าปกติ เพราะอุปกรณ์ที่ติดอยู่บนฟันจะง่ายต่อการเกาะติดของเศษอาหารและทำความสะอาดได้ยาก
เราจึงจะเห็นได้ว่าคนที่ดัดฟันบางรายมักจะหลีกเลี่ยงการกินอาหารบางชนิดที่มักจะเข้าไปติดอยู่ตามซอกอุปกรณ์จนต้องมาเสียเวลาทำความสะอาดอย่างวุ่นวาย
นอกจากนั้นแล้ว ผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาได้หลังจากการดัดฟันก็คือปัญหาของการสูญเสียแร่ธาตุของสารเคลือบฟัน เป็นเหตุให้เกิดฟันผุได้ง่าย
รวมไปถึงภาวะฟันตายจากการขาดออกซิเจนในโพรงประสาทฟันที่เกิดจากการดึงรั้งตัวฟันมากเกินไปในระยะเวลานานๆ เมื่อนานวันเข้าก็อาจจะส่งผลให้รากฟันเกิดภาวะละลายตัวจนต้องสูญเสียฟันซี่นั้นๆ ไปอย่างน่าเสียดาย
แต่อย่างไรก็ตามปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นนั้นก็เป็นเพียงแค่โอกาสเกิดส่วนน้อยเท่านั้น สำหรับคนที่เข้ารับการจัดฟันตามคำแนะนำของแพทย์และได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วละก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงผลกระทบต่างๆ เหล่านี้
นอกเสียจากคนที่จัดฟันตามค่านิยมหรือจัดฟันอย่างไม่ถูกต้องตามสุขลักษณะโดยคนที่ไม่มีความรู้เพียงพอ ก็อาจจะเป็นเหตุให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงภายในช่องปากตามมาได้
เห็นไหมละคะว่าการจัดฟันไม่ใช่เป็นเพียงแค่การทำเล่นๆ ตามแฟชั่นเท่านั้น เพราะถ้าหากเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ การจัดฟันเพียงเพราะความสวยงามโดยปราศจากคำแนะนำที่ดีจากทันตแพทย์แล้วละก็
แทนที่เราจะได้มีรอยยิ้มจากฟันสวยๆ ก็อาจจะกลายเป็นความผิดปกติของช่องปากจนต้องเข้ารับการรักษาผลกระทบที่ตามมาแทนก็เป็นได้